อธิบายคร่าวๆ ว่ากฎใหม่นี้ ต่างจากเดิมและมีผลกับนักเรียนไทยอย่างไรบ้างนั้น
อย่างแรกเลยก็จะไม่มีการแบ่งแยกเกี่ยวกับ Subclass เหมือนแต่ก่อนที่มี 570 572 573 แต่จะเหลือเพียง subclass 500 และ Student Guardian (subclass 590) เป็นไง พี่อิมเราตัดเหลือสองตัว จะได้ไม่ยุ่งยากและสับสน ที่จะข้องเกี่ยวกับนักเรียนไทยเรานั้นหลักๆแล้วก็คือ subclass 500 ครับ คร่าวนี้เรามาดูข้อดีและข้อเสียสำหรับนักเรียนไทยกันว่ามีอะไรบ้าง อันนี้ ไม่นับ นักเรียนสัญชาติอื่น หรือ นักเรียนไทยที่จบมาจากเมืองนอกนะครับ
เรามาพูดถึงข้อเสียกันก่อนเนอะ.กฎเก่าขั้นตอนสมัครเรียนสบายๆๆ สมัครเรียน รอใบออฟเฟอร์ จ่ายเงิน ได้ COE ยื่นวีซ่า แต่กฎใหม่ นั้นเพิ่มความยุ่งยากขึ้นไปอีกนึดนึง ก็คือ ต้องให้นักเรียนเขียน GTE ก็อารมณ์ ประมาณว่า เขียนอธิบายว่าทำไมเราถึงอยากไปเรียน ที่ออส ไปเรียนแล้วได้อะไร กลับมาไทยจะทำอะไร ประมาณนั้น หากนักเรียนไม่เขียนเอง ก็ต้องเป็นภาระของเอเจ้นแน่นอนที่จะต้องเขียนให้
- ไม่สามารถทำการเรียนภาษาบวกด้วยดิฟโฟม่าง่ายๆๆเหมือนเดิมแล้ว จะต้องมีการสอบวัดระดับภาษาด้วย ก่อนที่จะทำการเรียนแพคเกจแบบ ภาษา บวก ดิฟโฟม่าครับ ยกเว้นหากนักเรียนมีผลไอเอล หรือว่าจบหลักสูตรอินเตอร์ ครับ แต่สำหรับใครที่ลงเรียนภาษานั้น ไม่จำเป็นต้องสอบวัดระดับภาษา หรือว่ามีผลไอเอลนะครับ
- เงินที่ใช้จ่ายในช่วงที่เราเรียนออสเตรเลียนั้น เพิ่มขึ้นครับ เดี๋ยวดูรายละเอียดในหัวข้อ financial capacity นะครับ
- หากนักเรียนคนไทยที่ยื่นเรียนระดับมหาลัยแล้วต้องการย้ายมาเรียนระดับดิฟโฟม่านั้น จะต้องทำการยื่นวีซ่าใหม่ด้วยครับ ไม่สามารถใช้วีซ่านักเรียนตัวเดิมที่สมัครเรียนมหาลัยมา เรียนดิฟโฟม่าได้ครับ <อารมณ์ประมาณว่าวีซ่าเก่ายังเหลือ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยื่นวีซ่าใหม่ให้เสียเงินอยู่ดีครับ >
ข้อดี ซึ่งแน่นอนหล่ะ จะต้องน้อยกว่าข้อเสีย 5555
- ลดขั้นตอนยุ่งยากในการกรอกฟร์อมต่างๆๆ เช่น ฟอร์ม 956A ฟอร์ม 54 และฟอร์ม 157A นักเรียนไม่ต้องมากรอกข้อมูลและเซ็นต์ให้วุ่นวายแล้ว ยกให้เป็นหน้าที่ของเอเจ้นหรือตัวแทนที่ทำการยื่นวีซ่าให้เราครับ
- เวลาพิจารณาวีซ่า จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ไม่นับรวมเคสที่ขอเอกสารเพิ่มเติมนะครับ
- เอกสารด้านการเงินไม่ต้องยื่นโชว์ทุกเคส แต่ไม่ได้หมายความว่าการยื่นวีซ่านักเรียนตามกฎใหม่จะไม่ต้องโชว์นะครับ ขี้นอยู่ที่ดุลยพินิจว่าอิมจะเรียกหรือไม่เรียกครับผม
เป็นอย่างไรบ้างครับว่ากฎใหม่นั้นกระทบกับนักเรียนไทยแค่นิดเดียวครับ หลักๆๆแล้วก็เป็นการเปลี่ยนการขั้นตอนในส่วนของเอเจ้นที่จะต้องอัพโหลดเอกสารออนไลน์ซ่ะมากกว่า แต่นักเรียนนั้นไม่ได้ผลกระทบเท่าไหร่ครับ
หลักๆแล้ว วีซ่านักเรียนออสเตรเลียนั้น ง่ายมากสำหรับผู้ที่มีความตั้งใจไปเรียน หรือ ตั้งใจไปทำงานแต่เอกสารต่างๆครบ ไม่ว่ากฎจะเปลี่ยนไปอย่างไร วีซ่านักเรียนออส ก็ไม่ยากอย่างที่หลายๆๆคนคิดครับ
เอกสารหลักๆ ในการยื่นวีซ่ามีอยู่ 2 ส่วน ก็คือ เอกสารของตัวผู้สมัครเรียน และเอกสารของผู้ปกครองที่สนับสนุนด้านการเงินครับ
สรุป : กฎใหม่นี้ จะเพิ่มเติมงาน ให้กับเอเจ้นในการหาที่เรียนให้สอดคล้องกับโปรไฟล์และจุดประสงค์ของนักเรียน และต้องค่อยเช็ค level ของโรงเรียนที่จะลงทะเบียนให้กับนักเรียนด้วยว่าอยู่ Level ไหน เพราะหากเลือกลง Level 3 ก็เหนื่อยกับการหาเอกสารให้หนักแน่นหน่อย เสี่ยงที่จะโดนเรียกเอกสารเยอะ ต่างกับการลงเรียนกับโรงเรียน level 1 ซึ่งทางอิมจะเรียกเอกสารน้อยหน่อย หรืออาจจะไม่เรียกเลยก็ได้ครับ <ในส่วนของการเลือกสถาบันเรียนกับ Level นั้นเดี๋ยวจะเขียนบทความเพิ่มเติมเป็นตอนต่อไปครับ > และกฎใหม่นี้ จะลดขั้นตอนในส่วนของเอกสาร เพราะทุกอย่างจะโหลดยื่นออนไลน์เลยครับ
REF : http://www.border.gov.au/Trav/Stud/ssvf-students
ในส่วนของเอกสารด้านการเงิน
เป็นไม้เบื่อไม้เมาสำหรับนักเรียนไทยมาทุกยุคสมัย ซึ่งนักเรียนไทยส่วนใหญ่ จะตกม้าตายในหัวข้อนี้ ซึ่งกฎใหม่นี้ พี่อิมใจดีไม่เรียกดูเอกสารทางด้านการเงินทุกเคส แต่ผมยังไม่ได้พูดนะว่าการยื่นวีซ่านักเรียนออสเตรเลียไม่ต้องใช้แบงค์สเตทเม้นก็ยื่นได้นะครับ
As part of the visa application process, we might require students to provide evidence of their financial capacity เห็นข้อความนี้ตรงรูปด้านซ้ายมือหรือเปล่าครับ แปลเป็นไทยอารมณ์ประมาณว่า ในกระบวนการพิจาณาวีซ่าเราอาจจะขอเอกสารด้านการเงินกับนักเรียน ครับ
เพราะฉะนั้นแล้วผมแนะนำให้นักเรียนเตรียมเอกสารด้านการเงินและโหลดไปทีเดียวตอนยื่นวีซ่าดีกว่า ถึงแม้ว่าเราจะเรียนสถานบัน Level 1 ก็ช่าง เพื่อที่ว่าทางอิมจะได้ไม่ต้องขอเอกสารเพิ่มเติม เอกสารของเราสมบูรณ์ และการพิจารณาวีซ่าของเราจะได้เร็วขึ้นครับ
Living cost amounts
From 1 July 2016, the 12 month living cost will be:
- Student/guardian – AUD 19,830
- Partner/spouse – AUD 6,940
- Child – AUD 2,970
ตามกฎใหม่จะเพิ่มขึ้นมานิดหน่อยครับ ซึ่งเงินจำนวนนี้เราจะต้องมีโชว์หากทางอิมเรียกครับ ส่วนจะเพิ่มมาเยอะมากแค่ไหน เรามาดูรูปข้างล่างนี้ครับสำหรับกฎเก่าครับ
คร่าวนี้เรามาดูกันว่าไอเอล กับกฎใหม่มันเกี่ยวอะไรกัน <จะพูดถึงนักเรียนไทยอย่างเดียวไม่รวมนักเรียนสัญชาติอื่นที่ได้รับการยกเว้นนะครับ > หลักๆๆเลย หากเราต้องการจะเรียนดิฟโฟม่านั้น เราต้องมีผลไอเอลอย่างน้อย 5.5 ครับ หรือ หากมีน้อยกว่านั้น เค้าก็จะมีตารางที่เราต้องทำการเรียนเพิ่มเติมมาให้ว่า หากได้ 5 เราก็ต้องเรียนภาษาอย่างน้อย 10 สัปดาห์ ครับ ซึ่งถามว่ามันจะมีผลอะไรเกี่ยวกับนักเรียนไทยที่ต้องการไปเรียนภาษา บวก ดิฟโฟม่า หรือเปล่า ตอบ มันมีผลครับ ก็คือ เราต้องมีการสอบวัดระดับภาษาก่อน ที่เราจะทำการเรียนภาษาบวกดิฟครับ ซื่งกฎเก่านั้น สามารถทำการสมัครเรียนและยื่นวีซ่า ภาษาบวกดิฟโฟม่าได้เลย โดยที่ไม่ต้องทำการวัดระดับภาษาครับผม ก็เท่ากับว่าจะเพิ่มขั้นตอนในการสมัครเรียนภาษาบวกดิฟ นั้นก็คือการสอบวัดระดับภาษาเท่านั้นเองครับผม